พอพูดถึงการเดินทางท่องเที่ยวต่างๆกับลูกน้อยในเมืองไทย การนั่งรถยนตร์ส่วนตัวน่าจะเป็นตัวเลือกหลักๆที่พ่อแม่หลายๆคนเลือกเพราะสะดวกสบายที่สุด แต่เนื่องด้วยสาเหตุหลายๆอย่างรวมๆกันก็ทำให้เมืองไทยขึ้นชื่อเรื่องอุบัติเหตุบนถนนถึงขนาดที่เป็นอันดับต้นๆของโลกเลยทีเดียวค่ะ
นอกจากนี้ การฝึกให้ลูกนั่งคาร์ซีท(Carseat) ในหลายๆกรณียังเป็นการแบ่งเบาภาระให้พ่อแม่ด้วย เพราะลูกจะไม่สามารถปีนป่ายไปไหนหรือซุกซนมาเล่นเกียร์หรือปุ่มต่างๆบนหน้าปัดรถ ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายหรือสร้างความสับสนให้รถคนอื่นๆได้
จากเหตุผลหลายอย่างที่บอกไป การให้ลูกเล็กนั่งรถยนตร์ด้วยคาร์ซีท(Carseat) จึงกลายเป็นเรื่องจำเป็นที่หลินอยากแนะนำให้ทุกๆคนทำกันจนติดเป็นนิสัย เหมือนกับการใส่หมวกกันนอค หรือการคาดเข็มขัดนิรภัย เพราะลูกเล็กนั้นบอบบางมาก และการอุ้มลูกอยู่ในอกนั้นก็เสี่ยงมากที่ลูกจะหลุดจากมือได้ง่ายๆ หรือถ้านั่งหน้าก็อาจจะโดนถุงลมนิรภัยกระแทกจนบาดเจ็บทั้งแม่ทั้งลูกเลยก็ได้ค่ะ
ขอสรุปเลยแล้วกันว่าคาร์ซีทเป็นสิ่งจำเป็นที่พ่อแม่ที่มีลูกเล็กทุกคงต้องมี และนอกจากจะมีติดรถไว้แล้วก็ต้องใช้ทุกครั้งด้วยนะคะ ไม่ว่าจะนั่งไปใกล้แค่ไหน เพราะต่อให้เราขับรถไม่เร็ว ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีรถหลับในขับมาชนท้ายเราตอนติดไฟแดงนะ
เอาล่ะ เกริ่นมาซะยาว มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ในเมื่อคาร์ซีทเป็นเรื่องที่จะต้องซื้อมาใช้กันแล้ว ปัญหาก็คือถ้าใครได้ลองดูรูปแบบ รุ่นและยี่ห้อต่างๆตามห้างมาแล้วจะรู้เลยว่าน่าปวดหัวกันขนาดไหน มีสารพัดรุ่น, สารพัดแบบ, สารพัดประเทศผู้ผลิต และหลากหลายราคา เราจะซื้อเท่าไหร่ดี พวกที่แพงนั้นมันดียังไง หรือฟังชั่นไหนที่เราควรจะมีกันบ้าง ในบทความนี้เราจึงจะสรุปออกมาให้พ่อแม่มือใหม่ที่เตรียมตัวจะพาลูกน้อย เดินทางหรือออกเที่ยวไปที่ต่างๆได้เลือกซื้อคาร์ซีทแบบหายปวดหัวและถูกใจใช่เลยกัน โดยหลินจะขอเน้นพิเศษให้เฉพาะสำหรับเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดเท่านั้นนะคะ
คาร์ซีทสำหรับเด็กทารกเล็กๆ ตั้งแต่แรกเกิด จะแบ่งออกได้เป็นหลักๆ ประมาณ 4 แบบ ดังนี้
1. คาร์ซีทแบบตระกร้า แบบนี้ตัวคาร์ซีท จะมีลักษณะเหมือนกับตะกร้าที่ใส่เด็กทารกไว้ ซึ่งจะสามารถถอดตะกร้านี้ออกมาหิ้วไปไหนต่อไหน สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว จึงมีข้อดีคือสะดวกมากๆเวลาที่น้อยหลับแล้วเราจะเอาเข้าเอาออกรถน้องก็ไม่ตื่น โดยมักจะขายเป็นเซ็ทคู่กับรถเข็นที่นำเอาตะกร้านี้มาวางใส่ลงล็อคกันได้เลย รวมทั้งราคาแบบซื้อยกเซ็ทพร้อมรถเข็นก็มักจะถูกกว่าเราไปซื้อแยก ทำให้แบบนี้จะเหมาะมากๆกับช่วงแรกเกิด น้องตัวเล็ก น้ำหนักน้อยๆ นอนง่าย ไปไหนมาไหนก็นอนอย่างเดียว
ข้อเสียของแบบนี้ก็คือ น้ำหนักของตะกร้าที่ค่อนข้างมากประมาณ 2-4 กิโลกรัม เมื่อวางน้องลงไปแล้ว อาจจะหนักรวมกัน 7-8 กิโลเลยทีเดียว รวมทั้งขนาดของตะกร้าที่มักจะใหญ่เพราะต้องรองรับน้องให้ได้จนถึงอายุเกือบ 1 ขวบ การจะถือมือเดียวแบบตะกร้าทั่วๆไปจึงค่อนข้างจะลำบาก ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าคุณไม่มีปัญหากับการหิ้วตะกร้าใหญ่ๆหรือคิดว่าหิ้วแค่แป้บเดียว จากรถเข้าบ้านหรือจากรถไปลงรถเข็น รวมทั้งลูกน้อยของเรายอมนอนอยู่ในนั้นอย่างสบายใจ คาร์ซีทแบบนี้ก็สะดวกดีมากกว่าแบบอื่นๆเลย
2. คาร์ซีทแบบทั่วไป ก็จะมีลักษณะเหมือนกับคาร์ซีทแบบที่เราพอจะนึกภาพซึ่งสำหรับน้องแรกเกิดจนถึงประมาณ 1 ขวบ เค้าจะแนะนำให้นั่งแบบหันหลังกลับเพราะจะมีความปลอดภัยมากกว่าแบบหันหน้า เมื่อใช้จนน้องไม่ยอม หรือตัวยาวจนนั่งไม่ได้แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นแบบนั่งหันหน้าตามปกติแทน แบบนี้มักจะมีราคาถูกที่สุดหลักพันบาทถึงหมื่นต้นๆเท่านั้น ข้อดีก็คือถูก เสียทิ้งซื้อใหม่ได้ ไม่ชอบก็ซื้อใหม่ ใช้ไม่ได้ก็เปลี่ยนไม่เสียดายมากนักและก็มักจะใช้งานได้ดีพอสมควร คุ้มค่ากับราคา แต่ในข้อดีก็คือข้อเสียที่เนื่องจากแบบนี้มักจะราคาถูกทำให้วัสดุต่างๆมักจะไม่ค่อยดี เช่น ไม่ทน ไม่นิ่ม หรือไม่ระบายความ เป็นต้น
3. คาร์ซีทแบบทั่วไป แต่สลับหน้าหลังได้ แบบนี้จะคล้ายกับแบบบน แต่จะดีขึ้นมาหน่อยตรงที่เค้าจะออกมาแบบมาให้เมื่อน้องนั่งหันหลังไม่ได้แล้ว ก็สามารถที่จะสลับมาเป็นแบบหันหน้าแทนได้ด้วย ทำให้แบบนี้มักจะใช้ได้ยาวนานกว่าแบบแรกอาจจะได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3-4 ขวบเลย แต่ราคาก็จะสูงขึ้นตามมา รวมทั้งขนาดด้วย
4. คาร์ซีทแบบทั่วไป แต่หมุนได้ แบบนี้จะคล้ายกับแบบที่ 3 คือจะใช้ได้ทั้งแบบหันหน้าและหันหลัง รวมทั้งใช้ได้ยาวตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 3-4 ขวบ แต่จะดีขึ้นมาอีกคือสามารถหมุนไปมาได้ ทำให้สะดวกมากยิ่งขึ้นในการเอาน้องเข้าและออกจากคาร์ซีทโดยเฉพาะในรถทั่วๆไปที่ไม่ใช่รถตู้แบบประตูสไลด์ข้าง เพราะหลายๆครั้งเราไปจอดรถแล้วช่องจอดแคบ เปิดประตูได้น้อย แค่เข้าออกเองยังลำบากแล้วถ้าต้องเอาลูกเล็กๆขึ้นลงด้วยก็ยิ่งลำบากมากยิ่งขึ้น ส่วนข้อเสียก็คือแบบนี้มักจะอยู่ในรุ่นท้อปๆของแต่ละแบรนด์ทำให้ราคาจะแพงที่สุดตั้งแต่เกือบๆ 2 หมื่นไปจนถึง 4 หมื่นเลยก็มี และหลายๆแบรนด์ยุโรปก็ไม่มีประเภทนี้เลยด้วยซ้ำ
ประเภทของการติดตั้งคาร์ซีทยังมีให้เลือกอีก 2 แบบค่ะ
1. การติดตั้งคาร์ซีทโดยการใช้เข็มขัดนิรภัย หรือ ซีทเบลท์(Seatbelt) แบบนี้เป็นแบบดั้งเดิม มีมานานแล้ว โดยใช้สายเบลท์ หรือเซฟตี้เบลท์ของรถ พันไปรอบๆตัวคาร์ซีทแล้วล็อคลงกับ ตัวล็อคของซีทเบลท์
2. การติดตั้งคาร์ซีทโดยการใช้ตัวล็อคพิเศษที่เรียกว่า ISO FIX (คนส่วนใหญ่อ่านกันว่า ไอโซ่ฟิค) แบบนี้จะเพิ่งมีไม่นานในรถรุ่นใหม่ๆ รถบางคันอาจจะไม่มีตัวล็อค ISO มาให้ หรือบางคันจะมีแค่ที่นั่งบางตำแหน่งเช่น รถแบบ 3 ที่นั่งอาจจะมีตัวล็อคแบบไอโซ่เฉพาะ 2 ที่นั่งตอนกลางเท่านั้น ซึ่งสามารถดูได้ง่ายๆจากที่นั่งนั่นเองตามในรูป
เท่าที่ศึกษามาเค้าว่าทั้ง 2 วิธีนี้ให้ความปลอดภัยได้เท่าๆกัน หลายคนอาจจะงง แล้วจะคิดวิธีใหม่มาทำไม? ก็เพราะว่าการติดตั้งด้วยเซฟตี้เบลท์นั้นทำได้ค่อนข้างยุ่งยาก และสุ่มเสี่ยงต่อการติดตั้งผิดวิธี หรือไม่แน่นหนาพอ ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วคาร์ซีทหลุดหรือเลื่อนจนเป็นอันตรายต่อเด็กได้ เค้าจึงคิดวิธีที่ 2 ซึ่งเป็นตัวล็อคที่เสียบเข้ากับเหล็กที่ทำขึ้นพิเศษของเบาะรถยนตร์ ทำให้การติดตั้งนั้นง่ายมากและโอกาสผิดพลาดแทบไม่มี
จากประสบการณ์ตรงของเราที่ซื้อแบบ Seatbelt มาอันแรกก็คือ นอกจากมันจะติดตั้งยากจริงๆแล้วซึ่งตอนแรกเราคิดแล้วว่ายากก็ไม่เป็นไรคงไม่ได้ถอดเข้าออกกันบ่อยๆ แต่เอาเข้าจริงไหนเราจะต้องล้างรถ เช่น ฝุ่นในรถ ของลูก อ้วกลูก ต่างๆนานาๆ อีกทั้งแบบ seatbelt นั้นทำให้สายนั้นยับย่นยาน แบบสายเก่าๆด้วย ใครที่เป็นคนรักรถเหมือนกัน คงจะนึกออกว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน ทำให้อันที่สองที่ซื้อต้องเอาแบบ ISO เท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะต้องเช็คที่รถของคุณก่อนนะว่ามีช่องสำหรับ ISO มั้ย
อีกเรื่องที่ต้องคำนึงถึงคือ เรื่องความสบายของน้องขณะที่นั่งคาร์ซีท โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าน้องจะต้องนั่งอยู่นานๆ โดยดูได้จากวัสดุที่ใช้ในการทำ ผิวสัมผัสต่างๆ ความนุ่ม การเก็บพวกขอบด้ายหรือมุมตะเข็บต่างๆ รวมถึงการระบายอากาศที่ดี เพราะน้องเล็กๆ ยังขยับตัวเองไม่ได้จึงทับอยู่ที่ท่าเดิมนานๆ ถ้าการระบายอากาศไม่ดี เวลาต้องเดินทางนานๆ พออุ้มออกมาก็เจอน้องเหงื่อออกที่หลังหรือก้นทั้งๆที่น้องเท้าเย็นแล้วก็ตาม
หมดแล้วกับสิ่งที่ควรรู้ทั้งหมดในการจะเลือกซื้อคาร์ซีทซักอีกให้กับลูกน้อยของเรา อาจจะยาวหน่อยแต่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับพ่อแม่มือใหม่กันบ้าง ใครมีความคิดเห็นยังไง เลือกใช้คาร์ซีทแบบไหน เอามาแชร์กันบ้างนะคะ