ครรภ์เป็นพิษคืออะไร?
ภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือ ภาวะพิษแห่งครรภ์ (Pregnancy-induced Hypertension หรือ Pre-eclampsia/Preeclamsia ซึ่งศัพท์ดั้งเดิม คือ Toxemia of pregnancy) หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตร (มม.) ปรอท ร่วมกับมีภาวะโปรตีน หรือไข่ขาวในปัสสาวะในสตรีตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ ไปจนกระทั่งหลังคลอด 1 สัปดาห์ และภายหลังคลอดภาวะครรภ์เป็นพิษจะค่อย ๆ หายไปเอง
สาเหตุของครรภ์เป็นพิษคืออะไร?
สาเหตุของการเกิดครรภ์เป็นพิษ ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันหรือฮอร์โมนต่อมไร้ท่อบางตัว หรือจากกรรมพันธุ์ สันนิษฐานว่าเกิดจากความไม่สมดุลกันระหว่างโปรตีนบางตัวที่สร้างขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ ทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดในสตรีตั้งครรภ์ ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างหลอดเลือดไปเลี้ยงรกได้เพียงพอ บางส่วนของรกจึงขาดเลือด เกิดการตายของเนื้อรกบางส่วน มีการปล่อยสารที่ส่งผลให้หลอดเลือดทั่วร่างกายของสตรีตั้งครรภ์หดตัว
สตรีตั้งครรภ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดครรภ์เป็นพิษคือใคร?
1.สตรีตั้งครรภ์แรกหรือตั้งครรภ์แรกกับคู่สมรสใหม่
2.สตรีตั้งครรภ์ที่อายุน้อยกว่า 18 ปี หรือมากกว่า 35 ปี
3.ระยะห่างของการตั้งครรภ์ ห่างจากครรภ์ก่อนมากกว่า 10 ปี
4.สตรีตั้งครรภ์ที่มีประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์ครั้งก่อน
5.สตรีตั้งครรภ์ที่มีญาติพี่น้องสายตรง (มารดา และ/หรือ พี่ น้อง ท้องเดียวกัน) มีภาวะครรภ์เป็นพิษ
6.สตรีตั้งครรภ์ที่มีโรคประจำตัวก่อนตั้งครรภ์ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงโรคไต / โรคไตเรื้อรัง / โรคลูปัส / โรคเอสแอลอี
7.สตรีตั้งครรภ์แฝด
ครรภ์เป็นพิษแบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง? ครรภ์เป็นพิษแบ่งตามความรุนแรงเป็น 2 ชนิด คือ
1. ชนิดรุนแรงน้อย คือ สตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษโดยมีความดันโลหิตสูงไม่เกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท หรือมีโปรตีนรั่วในปัสสาวะไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน หรือไม่มีภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น เกล็ดเลือดต่ำ ไตวาย และทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
2. ชนิดรุนแรงมาก คือ ภาวะครรภ์เป็นพิษที่มีความดันโลหิตสูงมากกว่า 160/110 มิลลิเมตรปรอท หรือมีโปรตีนในปัสสาวะมากกว่า 2 กรัมต่อวัน หรือมีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ปวดศีรษะมาก ตาพร่ามัว มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ไตวาย ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการชักขณะตั้งครรภ์โดยที่ไม่เคยมีอาการชักมาก่อนตั้งครรภ์ (Eclampsia) และอาจเกิดภาวะเลือดออกในสมองจนมีอันตรายต่อชีวิตได้
อาการของครรภ์เป็นพิษมีอะไรบ้าง?
1.มีความดันโลหิตสูงมากกว่าหรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท
2.ตรวจพบโปรตีนไข่ขาวในปัสสาวะ
3.น้ำหนักเพิ่มมากอย่างรวดเร็ว
4.มีอาการบวมตามใบหน้า มือ ข้อเท้าและเท้า
5.ปวดศีรษะโดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย หน้าผาก โดยรับประทานยาแก้ปวดแล้วไม่ดีขึ้น
6.มีตาพร่ามัว อาจตาบอดชั่วขณะได้
7.จุกแน่นหน้าอก หรือบริเวณลิ้นปี่
8.หากอาการรุนแรงอาจมีอาการชักกระตุกทั้งตัว เกิดเลือดออกในสมองได้
ภาวะแทรกซ้อนของครรภ์เป็นพิษมีอะไรบ้าง?
ภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้จากครรภ์เป็นพิษ คือ
1. ภาวะแทรกซ้อนต่อมารดา
เสียชีวิต มักเกิดจากมีเลือดออกในสมองจากหลอดเลือดในสมองแตก
เกิดอาการชัก
ตาบอด อาจเป็นชั่วคราว หรือถาวร
มีภาวะน้ำท่วมปอด
มีเลือดออกในอวัยวะต่าง ๆ จากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
2. ภาวะแทรกซ้อนต่อทารกในครรภ์
มีภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
มีภาวะน้ำคร่ำน้อย ส่งผลให้ทารกถูกกดเบียดทับจากน้ำหนักมารดา ส่งผลให้มีการเจริญเติบโตผิดปกติได้
มีการคลอดก่อนกำหนด
มีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
ทารกเสียชีวิตในครรภ์
หัวใจทารกเต้นช้า จากการขาดออกซิเจน
อาการผิดปกติที่สงสัยภาวะครรภ์เป็นพิษที่ต้องรีบมาพบแพทย์มีอะไรบ้าง?
เมื่อตั้งครรภ์ และมีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ หรือรีบพบแพทย์ก่อนวันนัด คือ
ปวดศีรษะรุนแรง และมีอาการตาพร่ามัว หรือมองเห็นแสงวูบวาบ
มีอาการจุกแน่นใต้ลิ้นปี่
มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนมาก
น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
มีอาการบวมตาม ใบหน้า มือ ข้อเท้า และเท้า
ครรภ์เป็นพิษรักษาอย่างไร?
ในภาวะครรภ์เป็นพิษชนิดไม่รุนแรง อาจไม่มีความจำเป็นในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่ต้องมาติดตามการรักษา อย่างสม่ำเสมอตามแพทย์นัด นอนพักมาก ๆ ลดอาหารรสจัด สังเกตนับลูกดิ้นทุกวัน วัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ
เฝ้าระวังอาการของโรคที่ต้องรีบมาพบแพทย์ เช่น ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นใต้ลิ้นปี่ หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียง สามารถรอจนครบกำหนดคลอด แล้วจึงกระตุ้นให้คลอด สามารถคลอดทางช่องคลอดโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ หรือคีมคีบช่วยคลอดได้
หากเป็นครรภ์เป็นพิษชนิดรุนแรง ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน มีการวัดความดันโลหิตอย่างใกล้ชิด หากความดันโลหิตสูงมากกว่า หรือเท่ากับ 160/110 มิลลิเมตรปรอท จำเป็นต้องได้รับยาลดความดันโลหิต เพื่อป้องกันหลอดเลือดในสมองแตก มีการติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์โดยเครื่องอัลตราซาวด์เป็นระยะ ๆ จำเป็นต้องได้รับยาป้องกันการชักระหว่างรอคลอดจนถึงหลังคลอด 24 ชั่วโมง
ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจมีความจำเป็นต้องรับยุติการตั้งครรภ์ซึ่งอาจให้ยากระตุ้นชักนำการคลอด ทั้งนี้ สามารถคลอดทางช่องคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศหรือคีมช่วยคลอด แต่จะผ่าตัดคลอดเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ เช่น มารดามีภาวะปากมดลูกไม่เปิด เป็นต้น
ควรดูแลผู้ป่วยครรภ์เป็นพิษหลังคลอดอย่างไร?
ในรายที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษชนิดรุนแรง มีความจำเป็นต้องได้รับยาป้องกันการชักต่อจนครบ 24 ชั่วโมงหลังคลอด หากมีความดันโลหิตสูงเกิน 160/110 มิลลิเมตรปรอท อาจจำเป็นต้องได้ รับยาลดความดันโลหิต และอาจจำเป็นต้องวัดความดันโลหิตเป็นระยะ ๆ ทุก 1-2 วัน อย่างน้อยประมาณ 2 สัปดาห์ ต่อจากนั้นอาจวัดความดันโลหิตทุกสัปดาห์ จนอย่างน้อยประมาณ 6-12 สัปดาห์หลังคลอด หรือจนกว่าจะหยุดยาลดความดันโลหิต หรือตามแพทย์ที่รักษาดูแลแนะนำ
สามารถให้นมทารกได้ปกติ โดยยาป้องกันการชัก ไม่มีผลต่อทารกที่ได้รับนมมารดา แต่ทั้งนี้ขึ้นกับคำแนะนำของแพทย์ผู้ให้การดูแลรักษา
โดยทั่วไปอาการต่าง ๆ จะดีขึ้นหลังคลอด โดยหากเกิน 12 สัปดาห์หลังคลอดแล้วยังคงมีความดันโลหิตสูง อาจเป็นโรคความดันโลหิตสูงชนิดเรื้อรัง ควรพบแพทย์อย่างต่อเนื่องตามแพทย์นัด เพื่อทำการรักษาต่อไป
เฝ้าระวังภาวะครรภ์เป็นพิษในครรภ์ต่อไป โดยควรฝากครรภ์แต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่รู่ว่าตั้งครรภ์ และพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
ข้อห้ามสำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่ครรภ์เป็นพิษมีดังนี้
1. งดทำงานหนัก งดเดินชอปปิ้ง ให้พักผ่อนมาก ๆ
2. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม
3. งดมีเพศสัมพันธ์อย่างเด็ดขาด เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์มีผลทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น เลือดสูบฉีดจากหัวใจมากขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
เมื่อมีครรภ์เป็นพิษ เมื่อไหร่ต้องมาโรงพยาบาลฉุกเฉิน?
โดยปกติ เมื่อได้รับวินิจฉัยว่ามีภาวะครรภ์เป็นพิษ ในช่วงแรกแพทย์จะให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพื่อสังเกตอาการ และเฝ้าระวังผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อน เมื่อมั่นใจว่าเป็นชนิดไม่รุนแรง ไม่มีภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ แพทย์จึงอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล โดยให้พัก ผ่อนอยู่บ้าน ให้วัดความดันโลหิตที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือที่บ้าน (ถ้าสามารถมีเครื่องวัดความดันโลหิตไว้ใช้เอง) ตรวจนับการดิ้นของทารกเองโดยนับเมื่อประมาณ 1 ชั่วโมงหลังอา หาร รวมกันสามครั้ง ต้องดิ้นมากกว่าวันละ 10 ครั้ง และแพทย์อาจนัดพบสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค และตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์
แต่หากพบอาการดังต่อไปนี้ ให้รีบมาโรงพยาบาลฉุกเฉิน
ความดันโลหิตมากกว่า หรือเท่ากับ 160/110 มิลลิเมตรปรอท
ทารกดิ้นน้อยกว่าวันละ 10 ครั้ง
มีอาการน้ำเดิน (มีน้ำผิดปกติไหลออกทางช่องคลอด)
ปวดศีรษะรุนแรง ตาพร่ามัว จุกแน่นใต้ลิ้นปี่
มีวิธีป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษได้อย่างไร?
ยังไม่มีวิธีใดที่สามารถป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษได้ 100% แต่เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ หรือเมื่อเตรียมตั้งครรภ์ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้โดยมีวิธีการดังนี้
ลดอาหารรสเค็ม
ดื่มน้ำให้มากกว่า หรือเท่ากับ 8 แก้วต่อวัน เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
เพิ่มโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ นม ตับ ในอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารไขมัน อาหารผัดน้ำมัน และอาหารทอด
พักผ่อนให้เพียงพอ
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
พยายามยกขาสูงเมื่อมีโอกาส เช่น ขณะนั่ง นอน
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน (เช่น ชา กาแฟ โคล่า และเครื่องดื่มชูกำลัง)
ฝากครรภ์ตั้งแต่เริ่มรู้ว่าตั้งครรภ์ หลังจากนั้นปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดโอกาสเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ และ/หรือลดโอกาสเกิดความรุนแรงของภาวะครรภ์เป็นพิษ